1  

ส่วนป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ สำนักสุขศาสตร์สัตว์และสุขอนามัยที่ 9 กรมปศุสัตว์


การจัดการ

การปราบโรคจะต้องมีเป้าหมายที่ต้องการอย่างชัดเจน ได้แก่

การควบคุมโรค (control) เป็นการลดปัญหาของโรคลงสู่ในระดับที่ยอมรับได้ จำกัดปัญหาให้อยู่ในเฉพาะพื้นที่ที่กำหนด การป้องกัน (prevention) จะยับยั้งการนำโรคลงสู่พื้นที่ ทั้งนี้พื้นที่ที่กำหนดนั้นเป็นได้ตั้งแต่ ระดับคอก ฟาร์ม ตำบล เขตพื้นที่ ประเทศ ภูมิภาค ยุทธวิธีที่ใช้จึงต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย
การควบคุมโรคที่ประสบความสำเร็จจะต้องตามมาด้วยระบบการป้องกันและการเฝ้าระวัง การกำจัดโรคจะไม่มีความหมายหากไม่มีการป้องกันการนำโรคเข้ามาอีก (Bannister and Begg, 1990; Schnurrenberger, 1983)


หลักการและการดำเนินยุทธวิธี

การปราบโรคหรือการควบคุมโรคมีความคล้ายคลึงกับการรบ ต้องการระเบียบแบบแผนที่ชัดเจนในแต่ละขั้นตอน (Geering et al., 1999) การรบต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็วและถูกต้องบนพื้นฐานของข้อมูล ข่าวสารรอบด้าน มีการแปรการตัดสินใจ ไปสู่คำสั่งการมอบจุดประสงค์และภารกิจที่ชัดเจน ถ่ายทอดเป็นลำดับชั้นไปสู่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายทอดข้อมูลและคำแนะนำจากศูนย์อำนวยการไปสู่แนวหน้า พร้อมทั้งการสะท้อนกลับมายังศูนย์อำนวยการ ในการควบคุมโรคต้องมีจุดประสงค์และผลลัพธ์ในการควบคุมโรคจะต้องเป็นไปตามนโยบายที่กำหนด เพื่อเป้าหมายร่วมกันในการควบคุมโรคทั้งเขตพื้นที่

ยุทธวิธี

โค ไวต่อการติดโรค FMD มากที่สุด เนื่องจากปริมาณไวรัสขั้นต่ำในการก่อโรค (minimal infective dose) ในช่องทางการหายใจมีระดับต่ำมาก จึงมีโอกาสสูงมากที่โคที่สัมผัสใกล้ชิดกันจะป่วย การหยุดจำนวนตัวป่วยจึงอาจเป็นไปได้ยากกว่าสำหรับสัตว์ในฝูงเดียวกัน หรืออยู่ใกล้ชิดกันมาก่อนเริ่มการควบคุมโรค แต่การป้องกันการสัมผัสเชื้อสำหรับโคที่เลี้ยงอยู่ห่างกัน การลดปริมาณเชื้อให้ต่ำอยู่เสมอ จะมีส่วนช่วยในการบรรเทาการระบาด และลดโอกาสแพร่กระจาย
สุกร มีความไวต่อไวรัส FMD น้อยกว่าโค การทำให้สุกรป่วยต้องได้รับเชื้อในปริมาณสูงกว่าโคถึง 1,000 เท่า แต่สุกรป่วยจะขับไวรัสได้มากกว่าโคถึง 30 เท่า เมื่อเกิดอุบัติการ FMD ในโรงเรือน สุกร การสัมผัสโดยตรงถูกจำกัดเนื่องจากโดยทั่วไปแล้วสุกรไม่ได้ถูกเลี้ยงปล่อยอิสระในโรงเรือน การกินจึงเป็นช่องทางสำคัญในการติดโรคภายในโรงเรือนสุกร การแยกสัตว์ป่วยออกนอกโรงเรือนจากสุกรส่วนใหญ่ที่เป็นปกติจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นแล้วการล้างฆ่าเชื้อโรค การระมัดระวังการปนเปื้อนสู่ช่องทางการกินผ่านทางรางน้ำ รางอาหาร จะมีส่วนช่วยในการลดจำนวนตัวป่วยลง

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในการควบคุมโรค

ความเชื่อของผู้ปฏิบัติที่อาจส่งผลสะท้อนกลับที่ไม่พึงประสงค์ต่อการระบาด

ความเชื่อ แนวคิด

FMD ติดต่อง่าย หากเกิดโรคที่ใด สัตว์ ณ ที่นั้นจะต้องเป็นโรคหมดทุกตัว

FMD เป็นโรคที่ติดต่อง่าย แต่อัตราป่วยอาจมีค่าสูงหรือต่ำขึ้นกับปัจจัยสามเส้า เชื้อโรค–โฮสต์–สิ่งแวดล้อม สัตว์ป่วยอาจมีจำนวนมากจากการไม่ป้องกันการสัมผัสโรค เช่น ไม่กักสัตว์ป่วย ไม่แยกกันสัตว์ปกติออก ไม่หยุดการใช้ทำเลเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน ไม่ป้องกันการนำโรคโดยบุคคล ยานพาหนะ การเปิดโอกาสให้โรคแพร่กระจาย

ทำสัตว์ให้ป่วยทั้งหมด
จะได้ไม่มีการแฝงโรคหรืออมโรค เมื่อทุกตัวหาย โรคจะสงบ

เมื่อโรคสงบลงหากมีสัตว์ที่ไม่ป่วยเป็นโรคเหลืออยู่ ในจุดเกิดโรค สัตว์เหล่านี้จะไม่กลับมาป่วยเป็นโรคในภายหลัง เนื่องจากสามารถหลบเลี่ยง หรือผ่านระยะระบาดที่มีความเข้มข้นเชื้อสูงสุดไปแล้ว

การทำให้สัตว์ป่วยเพิ่มขึ้นหรือป่วยทั้งหมด ทำให้ปริมาณไวรัสถูกขับสู่สิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเสี่ยงต่อการแพร่ต่อไปในบริเวณใกล้เคียง แม้โรคสงบลงสัตว์ที่หายป่วยจะอยู่ในสถานะเป็น carrier เป็นระยะเวลานาน เป็นการเพิ่มแหล่งโรคที่จะกระจายต่อไป หากมีการเคลื่อนย้ายสัตว์เหล่านี้ออกไปก็จะทำให้เกิดอุบัติการใหม่ขึ้นได้

สัตว์ที่แฝงโรคจึงไมใช่สัตว์ปกติที่ไวต่อโรค (susceptibles) ที่เหลืออยู่ และสัตว์แฝงโรคที่แท้จริงคือสัตว์ที่อยู่ในสถานะ carrier หลังจากการป่วยเป็นโรค ซึ่งจะเก็บเชื้อไว้ในร่างกาย และสามารถขับเชื้อออกได้ ทำให้สัตว์ในแหล่งอื่นป่วยต่อไป


ทำสัตว์ป่วยให้หมดในคราวเดียว
ทำให้ไม่ต้องรอสัตว์ป่วยใหม่
โรคสงบเร็ว

การจัดการสัตว์ป่วยจำนวนมากพร้อมกัน จะทำให้ความพิถีพิถันในการจัดการควบคุมโรคลดลง มีโอกาสทำให้ปนเปื้อนมากขึ้น สิ้นค่าใช้จ่ายในการรักษาสัตว์ป่วยมากขึ้น

โรคสงบเกิดได้โดย 1) สัตว์หลีกเลี่ยงจากเชื้อไวรัสได้ และไม่เป็นโรค เมื่อเชื้อหมดโอกาสเพิ่มจำนวนโรคจะสงบ และ 2) สัตว์เป็นโรคหมดทุกตัว โรคจะสงบเช่นกัน แต่ผลกระทบจะต่างกัน เพราะมีความแตกต่างของประชากรสัตว์จากผล ของการระบาด ระหว่าง 1) เมื่อไม่มีสัตว์ป่วย ในขณะที่ยังมีสัตว์ที่ไวต่อโรคหลงเหลืออยู่ในบริเวณปนเปื้อนโดยไม่ป่วยเป็น โรค และ 2) เมื่อไม่มีสัตว์ป่วย เพราะสัตว์ทุกตัวป่วยจนหมด

ในกรณีแรก จะมีสภาพมีสัตว์ที่เป็นตัวทดสอบโรค (sentinel) โดยหากไม่พบสัตว์ป่วยในระยะเฝ้าระวัง แสดงว่าสภาพ การขับเชื้อในจุดเกิดโรคมีปริมาณลดต่ำลงกว่าระดับขั้นต่ำที่จะก่อโรคได้อีก ส่วนในกรณีหลัง เป็นการเพิ่มโอกาสนำโรคต่อไป เนื่องจากสัตว์เป็น carrier เพิ่มขึ้นหรือเป็นจนหมด และในความเป็นจริงแล้วมีน้อยครั้งมากที่จุดอุบัติการจะมี ลักษณะโดดเดี่ยวแยกขาดจากสิ่งแวดล้อม ไม่มีประชากรสัตว์อยู่รอบข้าง การเพิ่มจำนวนตัวป่วยมักจะทำให้การระบาด แพร่กระจายต่อไปในบริเวณข้างเคียง

โรคสงบเร็วเป็นผลดีเฉพาะหน้า แต่มีผลกระทบซ่อนอยู่มากมาย หากพิจารณาตามแนวคิดภูเขาน้ำแข็งของโรคติดเชื้อแล้ว สำหรับ FMD การที่สัตว์ป่วยหายจากอาการป่วยและเป็น carrier ก็เป็นการทำให้ภูเขาน้ำแข็งส่วนที่อยู่ใต้น้ำมากขึ้น ไม่ได้ทำให้ภูเขาน้ำแข็งมีขนาดเล็กลง และ FMD ไม่ได้ เป็นโรคเฉพาะจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง แต่เป็นปัญหาในระดับเขตหรือภาค การควบคุมโรคจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อกันด้วย

การควบคุมโรคที่ถูกต้อง สามารถทำให้โรคสงบอย่าง รวดเร็วได้เช่นเดียวกัน

การฉีดวัคซีนให้สัตว์ทุกตัวที่ยังไม่ป่วยในจุดเกิดโรค เพื่อให้สัตว์ไม่แฝงโรค หากตัวใด แสดงอาการป่วยจะได้ทำการรักษา ตัวใดไม่ป่วยเป็นโรคก็จะมีภูมิคุ้มกันโรค

สัตว์ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนจะป่วยหรือไม่ ขึ้นกับปริมาณเชื้อขั้นต่ำในการก่อโรคที่ได้รับในขณะนั้น รวมถึงความต่อเนื่องในการสัมผัสเชื้อ ซึ่งในสภาพธรรมชาติไวรัส FMD จะเสื่อมสลายตลอดเวลา หากไม่มีตัวป่วยใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัตว์จะมีโอกาสรอดจากโรคได้แม้ไม่มีภูมิคุ้มกัน

เมื่อให้วัคซีน FMD ซึ่งเป็นวัคซีนเชื้อตาย จะมีผลทำให้สัตว์อ่อนแอลงชั่วขณะ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนอยู่แล้ว จะทำให้สัตว์ทนต่อปริมาณไวรัสในระดับเดิมไม่ได้ และจะแสดงอากการป่วยในทันที จึงมักจะพบว่าการฉีดวัคซีน ในจุดศูนย์กลางของโรค จากการไม่คำนึงถึงสภาพเหล่านี้ทำให้สัตว์แทบทั้งหมดแสดงอาการป่วย ซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าการระบาดตามธรรมชาติ

ความจริงแล้วมีวัคซีนไวรัสเชื้อเป็นบางชนิด ทำให้เกิดความ ต้านทานโรคในระยะเวลารวดเร็ว เนื่องจากตัวเชื้อไวรัสในวัคซีนกระตุ้นให้เกิดการสร้าง interferon ยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัสได้ ดังเช่นในโรคกาฬโรคเป็ด (duck plague) สามารถให้วัคซีนเชื้อเป็นในฝูงสัตว์ป่วยได้ และในโรคอหิวาต์สุกร (swine fever) สามารถให้วัคซีนเชื้อเป็นในลูกสุกรที่ไม่ได้เกิดจากแม่ที่ได้รับวัคซีนมาก่อน ได้ตั้งแต่อายุ 1 วัน


ตำราบางเล่มอ้างว่า

"ตั้งแต่ก่อนปี 1920
การควบคุมโรคเมื่อเกิดการระบาดในต่างประเทศ คือโดยการ quarantine บริเวณที่ infected แล้วทำให้เกิดโรคนั้นแพร่ติดทุกตัวในฝูง เพื่อที่จะได้มีการหายขาดจากโรค
และมีความคุ้มโรคได้รวดเร็วใน เวลาเดียวกันหมดทั้งฝูง"

ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นโดย 1) ฉีดวัคซีน และ 2) หลังป่วยเป็นโรค การฉีดวัคซีน เป็นการตัดทางลัดสู่การมีภูมิคุ้มโรค โดยไม่ต้องผ่านการป่วยเป็นโรค ความคุ้มโรคที่เป็นประโยชน์จึงควรหมายถึงความคุ้มโรคที่ร่างกายสร้างขึ้นก่อนที่สัตว์จะป่วยเป็นโรค ไม่ใช่ความคุ้มโรคที่เกิดจากการเป็นโรค ซึ่งจะมีผลป้องกันการติดเชื้อในการติดโรคครั้งต่อไป

วิธีการเพิ่มสัตว์ป่วยด้วยความจงใจที่ผู้ปฏิบัตินิยมใช้ ได้แก่ การฉีดวัคซีน FMD ให้สัตว์ปกติทุกตัวในจุดเกิดโรค การนำน้ำลายหรือเยื่อเมือกจากสัตว์ป่วยไปป้ายช่องปากให้สัตว์ปกติ เป็นต้น

แท้ที่จริงแล้วการเพิ่มจำนวนสัตว์ป่วยด้วยความจงใจเป็นการซ้ำเติมระบบ เพิ่มโอกาสให้สถานการณ์ระบาดเลวลง ทั้งที่มีโอกาสอยู่มากที่จะป้องกันไม่ให้มีตัวป่วยเพิ่มขึ้น หรือทำให้โรคสงบลงด้วย จำนวนสัตว์ป่วยแต่เพียงส่วนน้อย


ข้อพิจารณาในการควบคุมโรค


T I PS

*    เอกภาพของการสั่งการ (unity of command)

ผู้นำที่แข็งแกร่งทำให้ทุกฝ่ายสามารถทำงานร่วมกัน โดยสูญเสียน้อยที่สุด ไม่สิ้นพลังเสียเปล่าจากการชี้นำที่ผิดพลาด และอาศัยความมุ่งมั่นร่วมกันปฏิบัติงานไปสู่จุดหมาย


*   ความเรียบง่าย (simplicity)

คำสั่งต้องชัดเจนไม่ซับซ้อน ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของสภาพพื้นที่


*   การบริหาร (administration)

ทุกปฏิบัติการต้องการองค์กร การสื่อสาร การส่งกำลังบำรุง และการสนับสนุนที่ดี


*   การประหยัด (economy of force)

ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ


*   ความปลอดภัย (security)

ระมัดระวังการดำเนินงาน ไม่ประมาท


*   การรักษาขวัญและกำลังใจ (maintenance of morale)

อาทรต่อสวัสดิภาพของผู้ปฏิบัติงาน