1  

ส่วนป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ สำนักสุขศาสตร์สัตว์และสุขอนามัยที่ 9 กรมปศุสัตว์


ความต้านทานและปฎิกริยาทางภูมิคุ้มกัน

โคจะไวต่อโรคมากที่สุด รองลงไปคือสุกร ส่วน แพะ, แกะจะแสดงอาการน้อย หรือแทบไม่แสดงอาการ และโดยทั่วไปสัตว์อายุน้อยจะไวต่อโรคกว่าสัตว์โต


ภูมิคุ้มกันโรคแต่กำเนิดและที่ได้รับ (innate and passive immunity)
ลูกสัตว์จะได้รับแอนติบอดีจากนมน้ำเหลืองของแม่ แต่ภูมิคุ้มกันนี้ไม่สูงเพียงพอต่อการป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากลูกสัตว์มีความไวต่อการติดเชื้อสูง ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันที่มีอยู่บ้างนี้จะมีผลต้านต่อการฉีดวัคซีนในการกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งในลูกสุกรพบว่าระบบภูมิคุ้มกันโรค จะเริ่มพัฒนาเมื่ออายุ 2 สัปดาห์ขึ้นไป และยังมีผลลัพธ์จากภูมิคุ้มกันที่ได้รับทางนมน้ำเหลืองจากแม่ โดยกว่าที่ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่โค และสุกรจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่งนั้นใช้ระยะเวลา 21–22 วัน (Kitching and Salt, 1995) ดังนั้น การให้วัคซีนในลูกสัตว์จึงไม่ได้ผล วิธีที่เหมาะสมในการป้องกันโรคในลูกสัตว์ คือ แยกตัวลูกออกจากแหล่งที่มีการติดเชื้อ


ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น (active immunity)
เป็นภูมิคุ้มโรคที่เกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน สัตว์สามารถติดเชื้อไวรัสได้หลายซีโรไทป์ การสร้างภูมิคุ้มต่อ FMD เป็นการสร้าง neutralizing แอนติบอดีแบบจำเพาะต่อ structural protein ของไวรัส การติดเชื้อไวรัสต่างซีโรไทป์มักไม่ค่อยมีภูมิคุ้มข้าม


ภูมิคุ้มกันโรคหลังจากป่วย


ภูมิคุ้มกันโรคจากการฉีดวัคซีน

ระยะฟักตัว

ระยะฟักตัว (incubation period) ขึ้นกับชนิดของ ไวรัส FMD ปริมาณและวิธีที่ได้รับเชื้อ โดย

ในการตามรอยโรค (tracing purpose) ถือระยะฟักตัว 7 วัน คือ เมื่อเกิดอุบัติการโรคจะทำการสอบสวนหาสาเหตุของโรคหรือพฤติการณ์ที่สงสัยว่าจะเป็นการนำโรค ย้อนหลังไปเป็นเวลา 7 วัน และ

ในการควบคุมโรค (regulatory purpose) ถือระยะฟักตัว 14 วัน คือ เมื่อเกิดอุบัติการโรคจะเฝ้าสังเกตจนกระทั่งไม่พบสัตว์ป่วยใหม่เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน จึงจะถือว่าการคาดหมายตำแหน่งปนเปื้อนถูกต้อง


วิธีการติดโรค

FMD มีการกระจายโดยธรรมชาติได้ 3 วิธี ได้แก่
1. โดยตรง จากสัตว์ที่ติดเชื้อไปยังสัตว์ปกติชนิดเดียวหรือต่างชนิด และ อาจเป็นการสัมผัสโดยตรง
2. ทางอ้อม จากผู้คนที่ใกล้ชิดสัตว์ป่วย หรือผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ป่วย
3. ทางอ้อม จากสิ่งที่มีเชื้อโรคอยู่ เช่น อุจจาระ มูลฝอย ปัสสาวะ น้ำลาย ผู้คน ยานพาหนะ อุปกรณ์ สัตว์พาหะ เช่น สุนัข, นก, หนู ที่ปนเปื้อน

สื่อของไวรัสในอากาศ

ตารางที่ 2 เปรียบเทียบคุณสมบัติของฝุ่น (dust) ละออง (droplets) และละอองนิวคลีไอ (droplet nuclei) ในการถ่ายทอดโรค ที่มา : Schawbe et al., 1977


คุณสมบัติ ละออง ฝุ่น ละอองนิวคลีไอ
    ขนาด > 100 µm 10-100µm 2-10µm
   เกิดขึ้นโดย ของเหลวแยกตัว การเสียดสี ละอองน้ำระเหย
   วิธีแขวนลอย พุ่งไปโดยการไอ จาม อากาศพยุง ลอยไปโดยการระเหย
   ความเร็วร่อนลง > 30 ซม./นาที 30 ซม./นาที-วินาที < 30 ซม./นาที
   เวลาที่แขวนลอย < 3 วินาที ขึ้นกับความเร็วที่ตก ในที่โปร่งจะแขวนลอยได้นาน
   ระยะที่ไปได้ ไม่ไกลในพื้นที่ว่าง ลอยในเมฆฝน กระจายทั่วบรรยากาศ
   ชนิดของจุลชีพ ปรสิตและจุลชีพก่อโรค จุลชีพทั่วไป ปรสิตและจุลชีพก่อโรค
   จำนวนต่อ ลบ.ฟุต ปานกลาง โดยปกติ< 100 โดยปกติ< 1
   เข้าระบบหายใจ ไม่แน่ชัด ติดที่จมูกและคอหอย เข้าถึงปอด
   วิธีติดโรค สัมผัส ยานพาหนะ สัมผัส
   ความคงทน ไม่แน่ชัด ทนทาน ไม่คงที่
   การกำจัด/ป้องกัน หน้ากากป้องกัน กรอง ตกตะกอนโดยไฟฟ้าสถิตย์ ตกตะกอนโดยใช้ไฟฟ้าสถิตย์
   การควบคุม เว้นระยะห่าง ฆ่าเชื้อในอากาศ ระบายอากาศ หรือฆ่าเชื้อในอากาศ